วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความรู้สึก-การกระทำ-สิ่งที่มีค่า

คุณเคยเหงาหรือเปล่า


เคยบ้างไหมเวลาที่คุณรู้สึกเหงา  คุณมักจะมองต้นหญ้าที่มีดอกที่กำลังเอนไปตามสายลม


คุณมักจะมองดอกไม้ที่มันเหี่ยวเฉา   คุณมักต้นไม้ที่ไร้ใบคุณมักจะมองหาแดดที่แรงปานกลางหน่อยและ

ดอกไม้ที่ติดตามพื้นและมันมักจะเป็นดอกสีขาวเสมอ

เคยบ้างไหมเวลาที่คุณรู้สึกสงบ

คุณมักจะมองหาที่นั่งซึ่งมันมักจะอยู่ใต้ต้นไม้หรือตามศาลา เมื่อคุณได้ที่นั่งในแบบที่คุณต้องการแล้วคุณเคยมองหาต้นหญ้าสีเขียวแล้วจากนั้น  มองหากระดาษหรือสมุดโน๊ตสักเล่ม

และอยากที่จะบันทึกเรื่องราวบางอย่างลงไปไหม   คุณอยากที่จะนั่งมองท้องฟ้าลายฟ้าสลับขาว  ในใต้ร่มไม้ที่คุณนั่งอยู่   แล้วจากั้นคุณจะอยากได้ยินเสียงนกตัวเล็กๆร้องเสียงเบาๆไม่กี่ตัว  หรืออยากอยู่แบบเงียบๆเพื่อต้องการคิดอะไรบางอย่าง

เคยบ้างไหมเวลาที่คุณรู้สึกสดชื่น คุณมักจะมองสิ่งเหล่านี้  ต้นไม้ ต้นหญ้าสีเขียวสดหรืออยากมองต้นข้าวสีเขียวในที่โล่งๆ  และสูดอากาศเหล่านั้นเขาไปลึกๆจากนั้นปล่อยมันออกมาแล้วรู้สึกว่ามันโล่งและไม่อยากคิดอะไร  ณ  เวลานั้นถ้ามีใครเอาอะไรมากรอกใส่หูของคุณ ความรู้สึกแห่งความสุขเหล่านี้จะชะงักกระทันหันทันที



เคยบ้างไหมเวลาที่คุณรู้สึกโกรธใครมาคุณมักจะเก็บมันไว้แล้วไปลงกับต้นม้ด้วยการต่อยมันเเรงๆ  ไปลงกับต้นหญ้าด้วยการใช้เท้าของคุณขยี้มัน  หรือไปลงกับดอกไม้ที่ดูสวยงามด้วยการใช้ไม้หน้าสามหรือกิ่งไม้ธรรมดาฟาดมันมันแรงๆ

คุณเคยรู้สึกแบบนี้หรือทำแบบนี้ใช่หรือไม่


และเคยบ้างไหมเวลาที่คุณทุกข์คุณคุณมองจะมองหาต้นไม้ใหญ่ๆสักต้นและอยากเข้าไปกอดมัน  นั่งข้างๆมัน  หรือ ยืนมองดูมัน แล้วจากนั้นน้ำตาของคุณก็ไหลออกมา และเมื่อเวลาที่คุณอยู่ใกล้มันคุณมักจะมีความสุขอยู่เสมอ 


และเคยหรือไม่ว่าเวลาที่คุณ  เฮฮากับเพื่อนๆของคุณคุณมักจะมองข้ามพวกมันไปและไปสใจสิ่งอื่นแทน  ..................ความรู้สึกเหล่านี้มักเกิดขึ้นกับคุณใช่หรือไม่....



                                                                                                  โดย  พระจันทร์      โต้รุ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พ่อฉัน...My father..(เรื่องเล่าพ่อลูก)

พ่อของฉันเป็นผู้ชายที่แสนนนนจะธรรมดาไม่มียศฐาอะไรสักอย่าง  ท่านเป็นคนที่ใจดีเข้าใจอะไรง่ายๆพูดแล้วถูกคอ  มีครั้งหนึ่งท่านเหนื่อยจากการทำงานมาแล้วก็โทรมาหาเราเราก็คุยด้วยแล้วก็ทิ้งโทรศัพท์ลงด้วยความเบื่อหน่าย



 แล้วก็บอกขอโทษกับท่านแต่ไมสำนึกหรอก
  แต่พ่อก็รู้สึกได้ว่าเราไม่ได้ขอโทษอย่างจริงใจท่านรู้สึกเสียใจมาก 


จากนั้นท่านก็โทรหาเราเรื่อยๆตอนนั้นเราอยู่ป.2-3นี่แหละด้วยความเป็นเด็กไม่ค่อยรักพ่อแม่จึงไม่สนใจเวลาที่พ่อโทรมา..โทรมา  153 สายเราก็ไม่รับ
 เพราะเบื่ออยากเล่นกับเพื่อนมากกว่าคุยกับพ่อ


พอไปกรุงเทพโหเป็นครั้งแรกแต่ เราก็ไม่รู้ว่าแม่มาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไร

แคบก็แคบ  ร้อนก็ร้อนจากนั้นอยู่ได้ไม่นานแม่พาพ่อเข้าส่งโรงพยาบาลจุฬา

 ...เราถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้นแม่บอกว่าพ่อเป็นมะเร็งปอด....เราก็อึ้งเฮ้ย...เเล้วเป็นเมื่อไหร่อ่ะแม่.....นานแล้ว.....ไม่มีใครบอกหนูเลยล่ะเราถามแม่.....ไม่ได้คำตอบกลับมา

 พ่อเข้ารักษาที่โรงพยาบาลให้คีโม  ให้ทุกอย่างฉายรังสี  พ่อทรมานเหลือเกิน  ผู้ชายคนนี้เมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้  เขาดูซีด...ดูผอมลงมากๆๆและดูเหนื่อยล้าเหมือนไม่อยากอยู่ต่อไปแล้วแต่พอแม่เข้าไปจับมือเขา  เขาก็ยิ้มขึ้นมาแล้วเราจากนั้นอีก2-3ปีอาการดีขึ้นแล้วจากนั้นก็ซุดลงอย่างหนัก



แต่แล้วหลังจากเรากลับจากโรงเรียน   ........  เรากับป้าแล้วก็ลุง(พี่ของแม่)ชวนเราไปรับพ่อทั้งสองไม่พูดอะไร  ระหว่างทางไปโรงพยาบาล  เราก็พูดขึ้นว่าจะให้พ่อกับแม่นั่งอยู่ข้างๆๆลุงกับป้าได้แต่ส่ายหน้าด้วยความหน้าเวทนา   เราไม่รุ้หรอกพอถึงโรงบาลปุ๊ปรีบวิ่งลงรถแล้ววิ่งเข้าห้องพักพ่อเลยไม่สนใจใครหน้าไหนแล้ว








แต่เห็นแม่ก็กวักมือเรียกให้มาหาแล้วให้ก้มกราบพ่อ  ผู้ชายคนนี้ดูอ่อนเพลีย  เหนื่อยลมหายใจของเขาระหืดกระหอบ  และจากนั้นก็ค่อยๆเบาลงในที่สุดลมหายใจนั้นก็หมดไปในเวลา  17.17  น.  



ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นทหารทำที่เพื่อชาติ  แต่เขาเป็นพนักทำงานบริษัทธรรมดาที่ทำเพื่อลูก


เขาไม่ได้หล่อเหลาเอาการเหมือนพระเอกในละคร  แต่เขาหล่อมากในสายตาลูกของเขา


บ้านพักของเขาไม่ได้ใหญ่เพื่อให้เขาได้อยู่อย่างสุขสบาย  แต่บ้านพักของเขากับเล็กเท่ารูหนูเพื่อให้ลูกเขาที่อยู่บ้านนอนสบายแทน


เขาไม่ได้กังวลเรื่องผิวหน้าของเขาว่าเวลาทำงานมันต้องขาวเนียนตลอดเวลา   แต่เขากลับกังวลว่าเมื่อไหร่ที่งานของเขาจะสมบูรณ์พร้อมใช้งานและเมื่อไหร่ที่งานเสร็จเมื่อนั้นเขาจะต้องกลับมาหาลูกทันที


ถ้าวันนี้
พ่อยังโทรมาหาเราเราจะรีบรับแล้วบอกว่าพ่อเหนื่อยไหม

ถ้าวันนี้
พ่อยังบอกกับเราว่าอย่าร้องไห้นะนำตามีไว้สำหรับคนแพ้เท่านั้นมันจะไม่มีทางไหลออกมาจากเบ้าตาเราเลย


ถ้าวันนี้

พ่อมาบอกกลับเราว่าพ่อรักหนูนะ  เราจะบอกกลับไปว่า  หนูก็รักพ่อเหมือนกัน

ถ้าวันนั้น

เรากล้าบอกพ่อพ่อจ๋าสู้ๆ  พ่อคงไม่เป็นแบบนี้

และถ้าวันนี้
พ่อยังบอกว่าชีวิตพ่อเป็นสิ่งที่มีค่า  มันก็คือหนูไง  เราจะบอกกลับไปว่า  ชีวิตหนูก็...คือพ่อน่ะเอง............


หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเห็นคุณค่าของคนที่คุณรัก...มากกว่านี้

วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าจากจากในวัง

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
มีเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง อยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริงเหตุการณ์ เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อ พระเทพทรง เสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสดและ ถาม ความ เป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็ มาถึงแม่ค้าปลา ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า 'ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ'แม่ค้าตอบว่า 'ที่ สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาทและที่เสด็จ ไป เสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ' เหตุการณ์นี้

ทำให้ข้าราชบริพาร ที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน





***********************************************



เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้านางสนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิง องค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียง ผู้ชายขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก็มี เสียงตอบกลับมา ว่า คนที่แบงค์นางสนองพระโอฐก็ งง...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่ เช้าแบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า แต่พอฟ้าหญิงรับ โทรศัพท์แล้ว ถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะก็ที่แบงค์ จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ...

ขนลุกเลย ทรงตรัสกับ ในหลวงท่านอยู่นั่นเอง





***********************************************


อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้ หนึ่ง ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้ง
หลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่ คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน
เมื่อ ในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูล ว่า 'ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่าบัดนี้มีอายุมากจึงเลิก รามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้า..' มาถึงตอนสำคัญที่ ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยง ไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ ตัว. . พ่อ ลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่ามีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไปทิ้งพระ โอรสไว้สองตัวตัวหนึ่ง ที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลยและทิ้ง ให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว' เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็น ที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง





***********************************************



เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลาย รุ่นเจ้า ของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษท่านทราบเรื่อง แล้วตรัสกับเจ้า หน้าที่ว่า 'ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์' เรื่องการใช้ราชาศัพท์ กับในหลวงดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูล ละออง ธุลีพระบาทถวายรายงานครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้า ราชการระดับ สูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า 'ขอ เดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อมข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราช ทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ' เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูล ชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า ' เออ ดี เรา ชื่อเดียวกัน...' ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะ ผู้รายงาน ตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้





***********************************************



มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับ นักศึกษา ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรง เปลี่ยนในครุย ทรง โปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่ จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่ง เฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า 'ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า' ในหลวงทรง ชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับ อธิการบดีว่า

'เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก'





***********************************************




เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยม เยียนราษฎรอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้วแต่ ราษฎร ผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระ เครื่องว่า 'ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์' ในหลวง ทรงตรัสว่า 'ขอเดชะ พระหมด แล้ววันหนึ่งพระองค์ ท่านเสด็จ เยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัดก็มี ชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมายพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระ บาท ที่ แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท แล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็ พูดว่า 'ยายดีใจเหลือ เกินที่ได้เจอในหลวง' แล้วก็พูด ว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมาย แต่ ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่ พวก ข้าราชบริพารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัยหรือไม่แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่ง ตอบว่ากับ หญิงชราคนนั้นทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ ไม่ไหว เพราะ พระองค์ทรงตรัสว่า ' เรียกว่ายายได้อย่าง ไร

อายุอ่อนกว่าแม่ ฉันตั้งเยอะต้องเรียกน้าซิถึงจะ ถูก'





***********************************************





ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้วพระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิด หน่อยเกี่ยวกับพระฉวี มีพระอาการคัน

มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไป เข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษาคุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนัง แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์ก็กราบบังคมทูลว่า 'เอ้อ - ทรง... อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ อ้า- ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ' พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระ สรวล ตรัสว่า 'ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง' แล้วคงจะ ทรงพระกรุณาว่า หมอคงจะไม่รู้ราชา ศัพท์ทางด้านอวัยวะร่าง กายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้า พูด ภาษาอังกฤษกันเถอะ

เป็นอันว่าก็กราบ บังคมทูลซักพระอาการกันเป็น ภาษาอังกฤษไป





***********************************************


เรื่องนี้ รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่ามี อยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราช ทาน ปริญญาบัตรอธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้ว บังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้อง รีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏ ว่า ในหลวงท่านทรง จำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไป ว่า'เมื่อกี้ นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว'

และมีอีก ปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ....ทำให้บัณฑิตคน หนึ่ง พลาดโอกาส ครั้งสำคัญในการถ่ายรูปพอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบ ร้อยแล้วก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาทท่านทรง ให้อธิการบดีเรียกบัณฑิต คนนั้นมารับพระราชทาน อีกครั้ง เพื่อจะได้มีรูป ไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้ง หอประชุมขอ จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน